รีวิว The Pianist 2002
รีวิว The Pianist 2002 เนื้อหา
ผู้กำกับ: Roman Polanski (Chinatown, Carnage, Death and the Maiden)
นักแสดง: Adrien Brody, Emilia Fox, Ed Stoppard, Maureen Lipman
รายได้รวมในสหรัฐฯ/ทุนสร้าง: 32 ล้านเหรียญฯ (จากทุนสร้าง 35 ล้านเหรียญฯ)
บทบาทบนเวทีรางวัล: ชนะ 3 รางวัลออสการ์ (นักแสดงนำชาย Adrien Brody, ผู้กำกับยอดเยี่ยม (ได้ครั้งแรกและครั้งเดียวของ Polanski จนถึงขณะนี้ แม้ว่าจะทำหนังใหญ่มาหลายเรื่อง), บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม หนังยังได้เข้าชิงอีก 4 สาขาคือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ถ่ายภาพยอดเยี่ยม เครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม และตัดต่อยอดเยี่ยม, เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ สาขาภาพยนตร์ดรามายอดเยี่ยม และนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, ชนะรางวัลบาฟตา สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม เข้าชิงสาขานำชายยอดเยี่ยม บทดัดแปลงยอดเยี่ยม ถ่ายภาพยอดเยี่ยม และประกอบเสียงยอดเยี่ยมดูหนัง,
น้ำดีอย่างไร : หนังที่ยอดเยี่ยมที่สุดของผู้กำกับ Polanski ที่ถึงขนาดพาเขาไปถึงรางวัลออสการ์ได้ในที่สุด หนังที่มีชื่อไทยว่า “สงคราม ความหวัง บัลลังก์เกียรติยศ” เพชรน้ำเอกเม็ดหนึ่งของหนังสงครามที่หดหู่และสะท้อนใจ ภาพยนตร์ได้ทำให้เห็นถึงความโหดร้ายของอคติที่ชาวเยอรมันมีต่อชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านสายตาของ Władysław Szpilman นักเปียโนชาวโปแลนด์ ที่ต้องดั้นด้นพาชีวิตของตัวเองและครอบครัวผ่านแต่ละวันในสงครามไปให้ได้ ในหนังยังพูดถึงแสงแห่งความหวัง เมื่อมีตัวละครนายทหารที่มีตัวตนจริงอย่าง Wilhelm Hosenfeld ทหารฝ่ายเยอรมันที่คอยช่วยเหลือผู้คนทั้งชาวโปแลนด์และชาวยิวเป็นจำนวนมาก (รวมถึง Szpilman) ให้รอดพ้นเงื้อมมือกองทัพเยอรมันไว้ได้จนเขาถูกลงโทษและเสียชีวิตในที่สุด หนังจึงสอนคนดูให้ได้เห็นว่า ในหมู่คนที่เปี่ยมอคติก็ยังมีคนดีแฝงตัวอยู่ด้วยเช่นกัน
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเริ่มเรื่องในปี ค.ศ.1939 ทหารนาซีเข้าบุกโปแลนด์ และได้จำกัดสิทธิของชาวยิวทุกคน จนอังกฤษ กับฝรั่งเศส ได้เริ่มประกาศสงคราม กับเยอรมัน ครอบครัวของวลาเดค และชาวยิวทุกคนต้องย้ายไปอาศัยในเขตกักกันชาวยิว ต่อมาครอบครัว ชาวยิว ได้ถูกกวาดต้อน ให้ขึ้นรถไฟ เพื่อย้ายเขตกักกันดูหนังออนไลน์
แต่ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนวลาเดค ทำให้เขาหนีรอดจากการขึ้นรถไฟเพียงคนเดียว ทำให้เขาต้องดิ้นรนหาที่ซ่อนจากพวกทหารนาซี จนกว่าสงครามจะสงบ และวลาเดคจะได้พบครอบครัวอีกครั้งหรือไม่
อีกหนึ่งภาพยนตร์ หนังสงคราม จากเรื่องจริงของ Wladyslaw Szpilman ที่สะท้อนความโหดร้าย ของสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกเช่นเคย เป็นสงครามที่ชาวยิวต้องเผชิญกับสถานการณ์ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อันแสนโหดเหี้ยม ผ่านฝีมือ การกำกับของ Roman Polanski ผู้กำกับสายหนังคุณภาพอีกคน ที่เป็นชาวโปแลนด์เหมือนกัน ซึ่งในเรื่องนี้ แม้ว่าจะเป็นหนัง ที่เกี่ยวกับสงคราม และมีฉากหลังเป็นสงคราม แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันกลับเป็นหนังที่เล่าถึงผลพวงจากสงครามที่ส่งผลกระทบต่อคนๆ หนึ่ง หรือผลกระทบต่อคนกลุ่มหนึ่งต่างหาก ด้วยการเล่าเรื่องราวที่เกาะไปกับตัวละครเอกตั้งแต่เริ่มเรื่องที่มีชีวิตปกติสุข ไปสู่สถานการณ์ที่ค่อยๆ เลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นชวนหดหู่ไปกับเรื่องราว อันแสนระทึกนี้
หนังสร้างจากเรื่องจริงของวลาดิซสลาฟ สปิลมัน (Adrien Brody)นักเปียโนชาวยิวชื่อดังที่อาศัยอยู่ในกรุงวอซอร์ประเทศโปแลนด์ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดเมื่อทหารเยอรมันได้บุกเข้ายึดโปแลนด์และทำการกดขี่ชาวยิวเยี่ยงทาสในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หนังน่าดู
The Pianist เป็นหนังยอดเยี่ยมที่ถ่ายทอดความโหดร้ายที่คนยิวต้องเจอในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองได้เป็นอย่างดีเรื่องหนึ่งที่ตลอดทั้งเรื่องมันมีแต่ความสิ้นหวังที่เหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุดไร้ทางออกทำได้แค่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่ต้องเจอ และ The Pianist ยังเป็นหนังที่จะคอยเตือนสติเราให้ได้รู้ว่า “สงคราม” มันเลวร้ายและรุนแรงขนาดไหน
ถ้าใคร พอจะจำได้ ผเคยได้รีวิวหนังสุดยอด สงคราม ยุคเก่า ไปในบทความที่แล้ว และเรื่องนี้ ก็สอดคล้องกัน เป็นเรื่องที่ผมยก ขึ้นมา กล่าว อาจจะเป็นเพราะได้ดูเรื่องนี้หลังจาก Schindler’s List เลยทำให้ความชอบลดลงไประดับหนึ่งเพราะบางอย่างของหนังอาจจะไม่ได้ประณีตเท่า จึงไม่แปลกใจว่าทำไมหนังถึงแพ้ Best Picture ให้กับ Chicago หรือแม้แต่ The Hours จากลูกโลกทองคำ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นหนังที่จารึกประวัติศาสตร์อันน่ากลัวของนาซีได้อย่างดีเยี่ยม ยิ่งเป็นหนังชีวประวัติของบุคคลจริงและผู้กำกับก็เคยเป็นคนหนึ่งที่เคยใช้ชีวิตในค่ายกักกัน จึงถ่ายทอดหนังออกมาได้อารมณ์มากจริงๆ
เมื่อระเบิดจากการรุกรานของกองทัพนาซีได้ทำให้สถานีวิทยุโปแลนด์ต้องปิดตัวลงในวันที่ 23 กันยายน ปี 1939 ดนตรีในการถ่ายทอดสดครั้งสุดท้ายเป็นการแสดงของวลาดีสลอว์ สปีลแมนในเพลง Sharp minor Nocturne ของโชแปง และเมื่อการกระจายเสียงได้รับการรื้อฟื้นในปี 1945 ก็เป็นสปีลแมนอีกเช่นกันที่เป็นคนริเริ่ม พร้อมด้วยเพลง ๆ เดิมของโชแปง (เวลาก็เป็นเวลาเดียวกัน แต่ทรงพลังน้อยกว่า และสถานีวิทยุบีบีซีได้กลับมาเอาการ์ตูนมิคกีเมาส์มาคั่นรายการด้วย)
สิ่งที่เกิดขึ้นกับสปีลแมนในช่วงเวลาสั้น ๆ ของสงครามนั้นเป็นตัวอย่างน่าสะพึงกลัวที่สุดตัวอย่างหนึ่งของชาวยิวภายใต้เงื้อมือของนาซี ดังปรากฏในหนังสือซึ่งถูกตีพิมพ์ในปีที่แล้วและเข้าสู่ระดับขายดีที่สุดระดับนานาชาติได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นเรื่องไม่น่าประหลาดใจที่ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นผลงานชิ้นเอกที่น่ากลัวและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกัน
สปีลแมนได้เขียน The Death of a City หรือ “ความหายนะของนคร” (ชื่อเรื่องชื่อแรกในบันทึกความจำของเขา)
ในปี 1945 เพื่อเป็นการรักษาแผลใจ ไม่มากก็น้อย เขาบันทึกความทรงจำของตนในกระดาษ และได้ทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา การกระทำเช่นนี้ได้ทำให้เห็นว่าเขาเป็นนักเขียนที่เป็นเอตทัคคะคนหนึ่ง ข้อเขียนของเขามีพลังในการบรรยายและต่อความเป็นมนุษย์อันปราศจากความน้อยเนื้อต่ำใจและการยกตน ระหว่างชีวิตกับความตายคือการกระโดดอันแสนยากเย็น”
ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่สปีลแมนได้มีโอกาสหลีกพ้นจากอุ้งมือของมัจจุราช จุดจบดูเหมือนจะมาถึงเมื่อเขาและครอบครัวได้รับคำสั่งให้ย้ายไปอยู่ที่อุมชลากสพลาท์ส ซึ่งซากศพจำนวนมากกำลังเน่าเฟะอยู่เรียงราย พวกเขาถูกต้อนให้ขึ้นไปบนรถไฟที่จะมุ่งหน้าไปสู่ห้องอบก๊าซพิษ ความทรงจำสุดท้ายของสปีลแมนเกี่ยวกับครอบครัวของเขาได้ถูกเน้นย้ำอย่างน่าสะเทือนใจดังนี้รีวิวหนัง
แต่ในขณะที่สปีลแมนถูกต้อนเข้าไปในรถไฟ ตำรวจยิวคนหนึ่งก็คว้าคอเสื้อเขาไว้พร้อมกับห้อยตัวเขาร่องแร่งออกไปจากฝูงชน ไม่ยอมให้เขาอยู่ร่วมกับครอบครัวบนการเดินทางสายมรณะ (เขายังได้บรรยายอีกถึงฉากตอนที่เขาแยกจากครอบครัว
เป็นไปได้มากกว่านั้นที่ว่า บันทึกของสปีลแมนไม่สามารถถูกเผยแพร่ได้ เพราะชาวยิวแทบไม่ได้การต้อนรับอย่างอบอุ่นจากอาณาจักรของสตาลินมากกว่าของฮิตเลอร์ เมื่อสตาลินถึงแก่อสัญกรรมในเดือนมีนาคม ปี 1953 เขาได้ร่วมกับคนอื่นๆ สำหรับการเดินทางไปสู่เมืองใหม่ทางตะวันออกของพวกยิวและการอยู่รอดของเขาได้กลายเป็นค่ายกักกันแห่งที่ 2 ภายหลังค่ายคอมมิวนิสต์ล่มสลายพร้อมความพยายามของลูกชายของเขาได้ทำให้การตีพิมพ์สำเร็จได้ในที่สุด
สปีลแมนได้เริ่มฝึกหัดเป็นนักดนตรีครั้งแรก ณ โรงเรียนดนตรีโชแปงในกรุงวอร์ซอภายใต้การควบคุมของ โจเซฟ ซมิโดวิคซ์และ อเล็กซานเดอร์ มิชโลว์สกี ทั้งคู่เคยเป็นนักเรียนของฟรานซ์ ลิซท์ ในปี 1931 เขาได้สมัครไปเรียนที่โรงเรียนสอนศิลปะ หรือ Akademice der Kunste ในกรุงเบอร์ลิน เขาได้เรียนเปียโนกับ นักเปียโนชื่อดังที่สุดสองคนในยุคนั้น คือ อาร์เทอร์ ชเนเบลและลีโอนิด ครอยเซอร์ และเรียนการแต่งเพลงจาก ฟรานซ์ ชเรเกอร์หนังใหม่
นักแต่งเพลงและอุปรากรชื่อดังเช่นเรื่อง Der ferne Klang ในการกลับไปโปแลนด์ในปี 1933 เขาได้เป็นคู่หูที่ประสบความสำเร็จกับนักไวโอลิน บรอนิสลอว์ กิมเพล ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นวง Piano Quintet (เครื่องดนตรี 5 ชิ้นคือ เปียโน เบส ไวโอลิน 2 ชิ้น และวิโอลา แห่งกรุงวอร์ซอซึ่งการออกแสดงได้ทำมันให้กลายเป็นวงดนตรีระดับโลก สปีลแมนยังคงเล่นอยู่กับวงๆ นี้จนถึงปี 1986 และสุดท้าย สปีลแมนถึงแก่กรรมในวันที่ 6 กรกฏาคม ปี 2000ดูหนังใหม่,
ที่มาที่ไป ของThe Pianist
ในบรรดาภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงครามมากที่สุด โดยภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างโดยอิงเค้าโครงเรื่องจริงจากชีวประวัติของ Wladyslaw Szpilman นักเปียโนชาวโปแลนด์ เชื้อสายยิว ซึ่งถูกกองทัพนาซีเยอรมันตามล่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2ดูหนังออนไลน์,
ภาพยนตร์เริ่มแสดงให้เห็นตั้งแต่ที่ตัวเอกของเรื่องยังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีบ้าน มีครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา จนกระทั่งกองทัพเยอรมันเริ่มครอบงำโปแลนด์ได้มากขึ้น ชาวยิวเริ่มถูกกีดกัน และถูกจำกัดสิทธิ์ด้วยวิธีการต่าง ๆ ชีวิตของพวกเขาเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ เริ่มขาดน้ำและอาหาร สภาพเศรษฐกิจตกต่ำ ต้องย้ายไปอยู่ในเขตกักกันชาวยิวที่กองทัพเยอรมันสร้างขึ้น คนที่ไม่เห็นด้วยกับกองทัพนาซีก็จะถูกกำจัดด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่โหดร้ายขึ้นไปเรื่อย ๆหนัง,
ในช่วงกลาง ๆ เรื่อง ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวการหนีตายของ Szpilman อย่างเต็มที่ ทำทุกทาง กินทุกอย่างที่กินได้เพื่อให้มีชีวิตรอด จากคนที่หน้าตาหล่อเหลา แต่งตัวดี กลับกลายเป็นคนที่เหมือนกับคนบ้า คน Homeless อะไรทำนองนั้น ผู้หญิงที่เคยจีบช่วงเยอรมันบุกโปแลนด์ใหม่ ๆ เจอกันอีกทีก็ท้องไปแล้ว ทำให้เห็นว่าสงครามพรากทุก ๆ อย่างไปจากเขา แม้แต่มีเปียโนอยู่ในห้อง ยังไม่สามารถเล่นได้ เพราะกลัวเสียงจะดังไปถึงหูของพวกนาซีเยอรมัน