รีวิว The Black Phone

รีวิว The Black Phone

รีวิว The Black Phone

รีวิว The Black Phone เนื้อหา 

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างโดยหนังสือเรื่องสั้นเขียนโดย Joe Hill และเป็นงานรียูเนี่ยนของผู้กำกับ Scott Derrickson (Sinister และ Doctor Strange) กับนักแสดงชายมากฝืมือ Ethan Hawke ซึ่งเคยร่วมงานกันมาแล้วใน Sinister เห็นแล้วต้องตาย แล้วเขาเพิ่งเล่นเป็นตัวร้ายไปมาดๆใน Moon Knight และครั้งนี้จะเล่นร้ายแบบเฮี้ยนขั้นสุดยิ่งกว่าเดิมดูหนัง
THE BLACK PHONE เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ฟืนนี่ หนุ่มน้อยที่ถูกนักฉุดเด็กจับตัวไปขังในห้องใต้ดิน แล้วอยู่ดีๆก็มีเสียงกริ๊งๆ ออกมาจากโทรศัพท์บ้านเก่าๆสายขาดใช้งานไม่ได้แล้ว พอรับสายก็ได้รู้ว่าเป็นเสียงเรียกสายจากวิญญาณของเหยี่อนักฉุดคนก่อนๆ พร้อมบอกใบ้ปริศนาวิธีเอาตัวรอดและจัดการกับนักฉุดเด็กโรคจิตให้ได้ก่อนที่เขาจะเป็นศพต่อไป…

รีวิว The Black Phone

 

‘The Black Phone’ หรือ ‘สายหลอน ซ่อนวิญญาณ’ กับหมอแปลก ‘Doctor Strange’ ฮีโรจากค่าย Marvel มันมีความเกี่ยวข้องกันอยู่นิด ๆ นะครับ เหตุผลก็เพราะว่า สก็อต เดอร์ริกสัน (Scott Derrickson) ผู้กำกับสายสยองขวัญที่เคยสร้างชื่อใน ‘Sinister’ ทั้ง 2 ภาค รวมทั้ง ‘The Exorcism of Emily Rose’ (2005) แกเคยแวบไปกำกับ ‘Doctor Strange’ (2016) มาก่อนแล้วทีหนึ่ง

รีวิว The Black Phone

แล้วจริง ๆ เดอร์ริกสันนักเขียนบทคู่บุญ ซี โรเบิร์ต คาร์กิลล์ (C. Robert Cargill) ที่เคยเขียนบทด้วยกันทั้ง ‘Sinister’ (2012) ‘Sinister 2’ (2015) และหมอแปลกภาคแรก ก็มีความตั้งใจไว้แล้วแหละว่าจะกลับมากำกับภาคต่อ ‘Doctor Strange in the Multiverse of Madness’ (2022) แต่ว่าด้วยความที่ไอเดียไม่ลงรอยกัน เดอร์ริกสันกับคาร์กิลล์ก็เลยขอบาย หันกลับมาสร้างหนังสยงขวัญทุนต่ำในแบบที่คุ้นเคย จนออกมาเป็น The Black Phone ได้ในที่สุดที่ผู้เขียนบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญทุนต่ำ อันนี้ต้องเน้นย้ำว่าทุนเค้าต่ำเตี้ยเรี่ยดินจริง ๆ นะครับ เพราะหนังสยองขวัญเรื่องใหม่ล่าสุดจากค่าย ‘บลัมเฮาส์ โปรดักชันส์’ (Blumhouse Productions) เรื่องนี้ เขาใช้ทุนสร้างแค่ 18.8 ล้านเหรียญเองครับ แต่เห็น Low Cost แบบนี้ ทำรายได้ฉายในต่างประเทศฟาดไปเกือบ 100 ล้านเหรียญ พร้อมกับคำวิจารณ์ที่ถือว่าค่อนไปทางบวกเป็นส่วนใหญ่ ดูหนังออนไลน์
หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เดอร์ริกสันและคาร์กิลล์ร่วมมือกันดัดแปลงเรื่องสั้นความยาว 30 หน้า จากผลงานหนังสือรวมเรื่องสั้นแนวสยองขวัญติดอันดับ The New York Times Best Sellers ที่มีชื่อว่า ’20th Century Ghosts’ (2015) เขียนโดย โจ ฮิลล์ (Joe Hill) ซึ่งเขาก็คือลูกชายของ ‘สตีเฟน คิง’ (Stephen King) เจ้าพ่อสยองขวัญระดับตำนานนั่นเอง และยังได้พี่ อีธาน ฮอว์ก (Ethan Hawke) ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน ‘Sinister’ (2012) กลับมาร่วมชายคาบลัมเฮาส์อีกครั้ง
เรื่องราวของ The Black Phone ว่าด้วยเรื่องของ ด.ช. ‘ฟินนีย์ ชอว์’ (Mason Thames) เด็กชายขี้อายแต่มีแววอัจฉริยะวัย 13 ปี ที่ถูกฆาตกรต่อเนื่องโรคจิตภายใต้หน้ากากที่มีนามว่า ‘เดอะ แกร็บเบอร์’ (Ethan Hawke) ลักพาตัวไปขังไว้ในห้องใต้ดินที่แสนจะอับทึบและเงียบงันจนแทบจะไม่มีใครได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือ แต่ในห้องนั้นกลับมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ นั่นก็คือโทรศัพท์โบราณสีดำเครื่องหนึ่งที่แขวนอยู่บนผนังในห้องนั้น
ทันใดนั้น เหตุการณ์เหนือธรรมชาติก็เกิดขึ้น เมื่อน้องกลับได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง ทั้ง ๆ ที่ตัวมันเองไร้ซึ่งสัญญาณ เมื่อฟินนีย์รับสาย ปรากฏว่าโทรศัพท์เครื่องนี้ แท้ที่จริงแล้วเป็นโทรศัพท์ผีสิง ปลายสายคือเสียงจากวิญญาณของเหยื่อคนก่อน ๆ ของเดอะ แกร็บเบอร์ ที่พยายามส่งเสียงมาถึงฟินนีย์ เพื่อช่วยเหลือไม่ให้น้องเกิดเหตุซ้ำรอยเหมือนกับเหยื่อคนก่อน ๆ
ด้วยความที่ตัวเนื้อเรื่องของหนังเล่าเรื่องภายใต้บรรยากาศของรัฐโคโลราโดยุค 70’s ซึ่งจริง ๆ ยุคนี้ถือเป็นยุคเรืองรองของคดีฆาตกรรม ลักพาตัว ฆาตกรต่อเนื่องเป็นทุนเดิม ตัวหนังก็เลยหยิบเอาบรรยากาศความกลัวและความหดหู่อดสูใจจากยุค 1970 มาสร้างบรรยากาศ ปูเรื่องให้รู้ถึงบรรยากาศความสยองขวัญปนหดหู่ของคนที่อยู่ในล้อมรอบของเหตุการณ์ และก็เป็นแรงส่งให้เรารู้สึกถึงการเคารพวิธีการเล่าเรื่องแบบหนังสยองขวัญยุคเก่าไปด้วยพร้อม ๆ กัน ซึ่งจะว่าไปก็มีความคล้ายกับการเซตบรรยากาศความสยองปนคัลต์ยุค 80’s ในซีรีส์ ‘Stranger Things’ อยู่เหมือนกันนะครับ

รีวิว The Black Phone

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ตัวหนังเองก็ไม่ได้พยายามจะประโคมโหมกระหน่ำฉากโหดเลือดสาด หรือใส่ Jump Scare ตึ่งโป๊ะล่อให้สะดุ้งนะครับ ตรงกันข้าม ตัวหนังกลับเลือกเสื่ยงที่จะเล่าด้วยพล็อตลูกผสมระหว่างพล็อตหนังเชือดแบบสแลชเชอร์ (Slasher) หนังเอาตัวรอดในที่ปิด วิญญาณสิงสู่ และพล็อตแนว Supernatural หรือแนวเหนือธรรมชาติ ที่ชวนให้นึกถึงพล็อตสยองขวัญผสมเหนือธรรมชาติที่วางพล็อต ‘ชง-ปู-เก็บกลับ’ สไตล์สตีเฟน คิง ที่อาจชวนให้นึกถึง ‘It’ (2017) หรือแม้แต่ ‘Sinister’ (2012) อยู่นิด ๆ เหมือนกันดูหนัง  
ตัวหนังสามารถควบคุมโทนเรื่อง และพล็อตออกมาได้ค่อนข้างดีเลยล่ะครับ แม้ตัวหนังในองก์แรกจะทำให้รู้สึกว่าเดินเรื่องเนือย ๆ และมีอาการโดด ๆ ข้าม ๆ ไม่ยอมปูเรื่องบางเรื่องที่ควรจะปูไปบ้าง เพราะเน้นปูเรื่องของฟินนีย์ที่เป็นเด็กฉลาดแต่โดนรังแก โดนบูลลี่เป็นหลัก แต่ก็ต้องชื่นชมว่า ตัวบทสามารถวางพล็อตเรื่องได้ฉลาดทั้งการวางพล็อต และค่อย ๆ วางจุดหักมุมของเรื่องเอาไว้ภายใต้การเล่าแบบนิ่ง ๆ เน้นฉากความรุนแรงที่จัดจ้านติดเรต R แต่ตัวหนังกลับพึ่งพา Jump Scare น้อยมาก แต่สามารถเล่าเรื่องได้หดหู่ น่ากลัวได้ชวนสะดุ้งเกือบทุกดอกดูหนังออนไลน์

The Black Phone

และตัวหนังก็ฉลาดในการวางสัดส่วนระหว่างการเอาตัวรอดของน้องฟินนีย์จากห้องปิดตาย และความโรคจิตของฆาตกรหน้ากากปีศาจ พร้อม ๆ ไปกับเส้นเรื่องของตัวละครที่มีความ ‘เหนือธรรมชาติ’ เป็นคนคอยเบิกทางเบาะแสจากภายนอกไปด้วย ก็เลยยิ่งทำให้ชวนให้เอาใจช่วยทั้งคู่ไปด้วย เรียกได้ว่าเป็นการลุ้นระทึกที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ แอบติดตลกร้ายชวนไหล่สั่น มีสารบางอย่างให้คิดต่อ ก่อนจะปิดจ็อบด้วยฉากโหดสะใจแบบสุดเขตเรต R ทำให้หนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังสยองขวัญ-ทริลเลอร์ที่ครบรสแบบไม่มีอะไรค้างคาจริง ๆ ครับ

สรุป 

ข้อดี ของภาพยนตร์เรื่องนี้คือตัวหนังสร้างบรรยากาศชวนอึดอัดไม่น่าไว้วางใจตลอดทั้งเรื่อง พร้อมลุ้นระทึกเอาใจช่วยน้องพระเอกไขปริศนาต่างๆที่อยู่ในห้องใต้ดินแล้วหาทางหนีซึ่งก็ให้อารมณ์หนังแนวแหกคุกหรือเอาตัวรอดในพื้นที่แคบอยู่พอสมควร แล้วมาผสมผสานกับแนวเหนือธรรมชาติในธีมย้อนยุคเท่ๆซึ่งไม่แปลกใจเลยที่หลายคนหยิบภาพยนตร์เรื่อง “IT โผล่จากนรก” มาเทียบกัน นอกจากความน่ากลัวกับฉากชวนลุ้นระทึกแล้วตัวหนังก็ยังสอดแทรกปมดราม่าตัวละครได้ดีเลย เผลอๆแอบมีน้ำตาซึมไปด้วยซ้ำ ส่วนในด้านเพลงประกอบที่ได้ Mark Korven มาเป็นผู้ประพันธ์ให้ถือว่ายังคงให้อารมณ์หลอนฝังหูเหมือนเดิมแต่ครั้งนี้เพิ่มชาวน์ใหม่เข้ามาเพื่อให้ตัวหนังชวนลุ้นระทึกยิ่งกว่าเดิมไปอีก

ส่วนในด้านการแสดงก็สุดยอดไม่แพ้กันในการประซันบทบาทระหว่างดารารุ่นเก๋า Ethan Hawke และ ดารารุ่นน้องดาวใหม่ Mason Thames ทั้งสองส่งบทกันได้ดีมากๆ โดยเฉพาะน้อง Mason Thames คือเดอะแบกของเรื่องนี้เลยน้องเล่นดีมากให้อารมณ์แบบกลัวที่จะสู้แต่กล้าที่จะเผเชิญหน้าไม่วิ่งหนี ส่วน Ethan Hawke ถึงแอร์ไทม์เขาจะไม่ได้ดูเยอะมากเท่าที่หวัง แต่การแสดงของเขาที่พลิกบทบาทมากตัวร้ายในเรื่องของบอกตรงว่าชั่วช้า โครตจิตได้ใจสมกับที่นักรีวิวต่างประเทศเชิดชูการแสดงเขามากๆรีวิวหนังใหม่ชนโรง

ด้านข้อเสียที่เห็นในเรื่องก็มีการเดินเรื่องที่ดูเนิบๆไม่รีบร้อน อีกทั้งฉากหลอนๆติดตาในเรื่องก็มีน้อยอยูาพอสมควรซึ่งตัวหนังจะเน้นไปแก้ไขปริศนาแหกคุกนักฉุดโรคจิตชะส่วนใหญ่เราจึงไม่ได้รู้ปมลับของตัวละครมากพอคนดูที่หวังจะมีฉากหลอนและตุ้งแซ่เยอะๆอาจจะผิดหวังได้

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *