รีวิว Call Me by Your Name 2017

รีวิว Call Me by Your Name 2017

รีวิว Call Me by Your Name 2017

รีวิว Call Me by Your Name 2017 เรื่องย่อ

เป็นหนังที่คอหนังชาวไทยไม่น้อยตั้งหน้าตั้งตารอกันมาตั้งแต่ต้นปีเลย หลังจากชื่อของมันเริ่มถูกพูดถึงในฐานะหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดของเทศกาลซันแดนซ์ประจำปีนี้ เรียกว่ากระแสนั้นมาแรงกว่า Dunkirk เสียอีก เพียงแต่ในแง่แมสแล้วมันยังไม่ไปถึงวงกว้าง แต่อย่างไรก็ตาม นี่คือหนังเต็งออสการ์ที่ทางโซนี พิคเจอร์ส จับมือกับ เฮ้าส์ นำเข้ามาฉาย ซึ่งได้รับการจับตามองอย่างมาก โดยอีกหนึ่งไฮไลท์ในเรื่องนี้ก็คือ คุณสยมภู มุกดีพร้อม ผู้กำกับภาพคู่ใจ ที่เคยกำกับภาพให้หนังของ ‘เจ้ย’  อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล มาแล้วหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น สุดสเน่หา, แสงศตวรรษ รวมทั้ง ผลงานมาสเตอร์พีชอย่าง ลุงบุญมีระลึกชาติ ที่เป็นเหมือนใบเบิกทางของเขาอย่างแท้จริง

รีวิว Call Me by Your Name 2017

 

สำหรับ Call Me By Your Name นั้นเป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากนิยายโรแมนติกของ อังเดร เอซิแมน ที่พูดถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเอลิโอ (ทิโมธี ชาลาเมต) เด็กหนุ่มวัย 17 เชื้อสายอเมริกันอิตาเลียน-ยิว กับ โอลิเวอร์ (อาร์มี่ แฮมเมอร์) นักศึกษาหนุ่มชาวอเมริกันวัย 24 ปี ขณะมาช่วยงานคุณพ่อของเอลิโอ (ไมเคิล สตูห์ลบาร์ก) ช่วงปิดภาคฤดูร้อนในช่วงยุค 80 โดยเมื่อมาทำเป็นหนังในเวอร์ชันของผู้กำกับ ลูกา กัวดานิโน (The Big Splash, I Am Love)  นั้นทาง เอซิแมน เองก็เข้ามาร่วมดัดแปลงบทหนังด้วยเช่นกันดูหนังออนไลน์

รีวิว Call Me by Your Name 2017

จุดแข็งของ Call Me By Your Name ก็คือเรื่องการเดินเรื่อง ซึ่งด้วยตัวพลอตเดิมนั้นไม่ได้มีเนื้อหาสลับซับซ้อนอะไรอยู่แล้วในแง่บริบท แต่หนังลงน้ำหนักเต็มที่กับการเล่าในมุมของการสำรวจ เอลิโอ ตั้งแต่ตัวตนเดิมที่เขาเป็น จนกระทั่งมาเจอกับ โอลิเวอร์ หนังปูแบ็คกราวน์ในด้านอ่อนโยนของเด็กหนุ่มที่ดูภายนอกเหมือนจะมีเสน่ห์ไปในเชิงเพลย์บอยหน่อย ๆ ด้วยซ้ำ แต่ความอ่อนโยนตรงนั้นแหละ ที่ถูกขยายออกจนประตูอีกบานเปิดออก ตัวตนอีกด้านหนึ่งของเขาเผยออกมา เจือปนกับความอยากรู้อยากเห็นและความสับสนในการค้นหาตัวเองในแบบฉบับหนัง coming of ageดูหนัง,

รีวิว Call Me by Your Name 2017

ตัวหนังเดินไปอย่างมีจังหวะเป็นธรรมชาติมาก เรื่อย ๆ เอื่อย ๆ สไตล์แบบ narrative และนี่ไม่ใช่หนังเกย์จ๋า แต่ออกจะไปทาง Bisexual ผมชอบที่ เอลิโอ ปลดปล่อยความปรารถนาออกมาแบบไม่มีเหตุผลมาเจือปน ซึ่งหนุ่ม ทีโมธี ถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก มันเป็นความรักแบบที่เราเคยรู้สึกได้สมัยเรียน วันที่ห้วงอารมณ์ของความรัก ความตื่นเต้น ปนเปรอไปกับความเศร้าและความกลัว ที่มันตีกันไปหมด มันไม่ใช่ความรักปรุงแต่งที่เป็นเหตุเป็นผลไปถึงหลังวันแต่งงาน แต่มันเป็นรักที่หากไปถามเอลิโอ ว่าทำไมถึงรักโอลิเวอร์ ปานจะแหกดากดมนัก เขาคงตอบได้แค่ว่า ‘ก็แค่รัก’  แค่นั้นจริง ๆ เพราะมันดิบมาก ซึ่งความสวยงามของหนังเรื่องนี้มันอยู่ที่ แววตาและความรู้สึกของ 2 คนนี้แหละ หนังทำให้เราได้ลุ้นว่า ‘เมื่อไหร่’ เอลิโอ และ โอลิเวอร์ จะ ‘คิดเหมือนกัน’ เสียทีดูหนัง,

รีวิวCall Me by Your Name 2017

Call Me By Your Name ใช้มุมกล้องที่ให้ความรู้สึกเหมือนหนังสมัยก่อน ยอมรับว่าชอบมู้ดแอนด์โทนของภาพบรรยากาศในหนังมาก มันกึ่ง ๆ จะพาเราไปทัศนศึกษาในมิลาน แต่เป็นมิลานที่อยู่ในนิยายฝัน ๆ อีกทีหนึ่ง สิ่งที่ชัดเจนที่คนดูได้เห็นจากหนังเรื่องนี้เลยก็คือ ความรักที่มาจากสัญชาตญาณของมนุษย์จริง ๆ ไม่มีค่านิยม มีแต่รสนิยมตรงหน้า เมื่อคุณเป็นเอลิโอ คุณจะเริ่มรักใครสักคน เปิดใจให้เขาเข้ามาในชีวิตเรา จากนั้นเมื่อความสัมพันธ์เดินไป จาก ‘เขา’ ก็กลายเป็น ‘เรา’ และ ‘เรา’ ก็กลายเป็น ‘เขา’ และคน ๆ นี้แหละที่ทำให้ ‘เรา’ เปลี่ยนไปตลอดกาลดูหนังออนไลน์

ซึ่งนี่ก็คือนิยามรักทรงพลังและแสนจะคลาสสิกในแบบฉบับของ Call Me By Your Name โดยในช่วงท้ายของหนังนั้นก็แอบมีหักมุมเล็ก ๆ ซึ่งเป็นมุมที่มีแล้วเติมเต็มและอธิบายความรักให้ เอลิโอ ได้ดีที่สุด สิ่งที่น่าพิศวงและคาดเดายากพอ ๆ กับความตายก็คือ ‘ความรัก’ นี่แหละ มันเป็นสิ่งที่ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะอายุเท่าไหร่ จะเป็นผู้ใหญ่ผ่านร้อนหนาวมาแค่ไหน ก็ยังเป็นเพียง ‘เด็กน้อย’ ในเรื่องของความรักอยู่วันยันค่ำ

รีวิวCall Me by Your Name 2017

ความรู้สึกหลังดู

รีวิวCall Me by Your Name 2017

ส่วนตัวนั้นชอบองค์ประกอบของหนังมาก โดยเฉพาะคอสตูมและการเซ็ตอัพฉากขึ้นมาในแต่ละซีน สามารถดึงความโดดเด่นเรื่องเทรนด์ในยุค 80 ออกมาได้คูลมาก ๆ แถมเก็บรายละเอียดทุกเม็ดสมราคาเต็งออสการ์ และถึงแม้ว่ามันอาจจะยากหน่อยที่เราจะได้เห็นหนังแนว LBGTQ คว้าออสการ์ 2 ปีติด (ต่อจาก Moonlight) แต่ก็ถือว่าด้วยคุณภาพนั้น มีสิทธิ์ลุ้นได้ยาว ๆ ครับ

รีวิวCall Me by Your Name 2017

ผู้กำกับ ลูกา กัวดาญิโน พร้อมผู้กำกับภาพชาวไทย สยมภู มุกดีพร้อม รายล้อมตัวละครสองคนนี้ด้วยภาพสวรรค์หน้าร้อน ทุกรายละเอียดงานภาพวิจิตรโดดเด่น, แต่ละช็อตมีความสำรวจไหลไม่เร่งรีบ, และจังหวะเดินเรื่องยังค่อยเป็นค่อยไปอย่างแทบไม่เข้าหาพล็อตเป็นรูปเป็นร่าง หรือสร้างดราม่าหนักเลย จนสภาพแวดล้อมเหล่านี้เด่นออกมาเหนืออื่นใด ราวให้ซึมซับอยู่ในความทรงจำเป็นปีๆ  ซึ่งสำหรับเอลิโอเอง  มันคงเป็นเช่นนั้น

ภาพรอบตัวอันตราตรึงที่หนังจับออกมา ช่วยยืนยันความหลงใหลในตัวโอลิเวอร์ของเขา  ว่าจะเป็นหมุดหลักสำคัญในความทรงจำที่เปลี่ยนตัวเขาตลอดไป  จากการที่เขาได้เปิดใจให้กับอีกคนเต็มๆ จนมันวนลูปกลับมาเป็นความเติบโตในตัวเองอย่างถาวร

ให้ความรู้ความสามารถที่เกินวัยไปมาก (ตามประสาลูกคนเดียวในครอบครัวนักวิชาการ) ได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับตัวตนมาสั่นสะเทือนจนเคลื่อนไปข้างหน้าบ้าง ยิ่งมีร่วมกับคนที่เหมือนเป็น equal ของเขาในหลายด้านด้วย ก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นไปอีก ความเสมอภาคและเติมเต็มซึ่งกันและกันนี้ ทำให้มันกลายเป็นความรักที่ต่างฝ่ายต่างยืนยันว่าอีกคนเป็นคนดีกว่าตนมากรีวิวหนังใหม่ชนโรง

รีวิวCall Me by Your Name 2017

 

นอกจากฝีมือกำกับที่ต้องแม่นยำระหว่างการให้คนดูซึมซับบรรยากาศแวดล้อม และรู้สึกถึงความหวั่นไหวแปรปรวนในอารมณ์ตัวละครแล้ว  สิ่งที่เรื่องแนวนี้ขาดไม่ได้เลยคือสองนักแสดงหลัก ที่ต้องเป๊ะพอกัน เพราะหนังหนีการมีพล๊อตเยอะๆ  มาเน้นความเปลี่ยนแปลงภายในตัวละครแทน ซึ่งสองคนทำได้ผ่านฉลุยมาก อาร์มี่ แฮมเมอร์ค่อยๆกระเทาะรูปภายนอกที่ราวเหมือนหนึ่งในงานปั้นที่พ่อเอลิโอขุดขึ้นมา (และหนังเองใช้ภาพเปรียบอยู่)

ให้เราได้เห็นความไม่มั่นใจลังเลภายใต้โอลิเวอร์ได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะยิ่งเมื่อได้อยู่กับเอลิโอ  แต่นักแสดงที่โดดเด่นแจ้งเกิดจากเรื่องนี้สุดๆคือ ทิโมธี ชาลาเม็ต ที่การแสดงต้องผสมผสานความมั่นใจทางสติปัญญา กับ ความหุนหันพลุ่งพล่าน awkward แบบวัยรุ่น

รวมอยู่ในหนึ่งคนได้อย่างไม่ขัดเขิน เขาต้องมีการปิดบังซ่อนอารมณ์ แต่ก็ปิดแบบกระอักกระอ่วนเห็นชัดแจ้ง ตามประสาคนที่จิตใจยังไม่ฟอร์มเป็นผู้ใหญ่เต็มร้อยนัก และทุกจังหวะการแสดงของเขา “จริง” ไหลลื่นเป็นธรรมชาติ  ชวนจับตามากๆ ให้เชื่อในตัวละครเล่นยากคนนี้ได้ตลอดเรื่อง

รีวิวCall Me by Your Name 2017

 

ในองค์แรก เคมีระหว่างชาลาเม็ตกับแฮมเมอร์โอบอุ้มหนังไว้มาก เพราะส่วนนี้ต้องถ่ายทอดเรื่องคนสองคนที่ต่างค่อยๆหยั่งเชิงจับตาความรู้สึกอีกฝ่ายอย่างใกล้เข้าหากันเรื่อยๆ ผ่านภาษาท่าทางและการลอบมอง  ที่ค่อยๆสะสมในความเกิดน้อยสื่อมาก พร้อมทั้งมีดนตรี

วรรณคดี และโบราณวัตถุเป็นสิ่งรอบกายช่วยเชื่อมระหว่างสองคน มาเป็นตัวแทนจุดหมายความสัมพันธ์ได้ดี  ทั้งดนตรีในตอนเต้นกลางคืน ที่เอลิโอได้เห็นมุมปล่อยตัวของโอลิเวอร์เต็มๆ (พร้อมความอิจฉาที่เขาเองอาจจะไม่รู้ตัว) หรือ ตอนเอลิโอเล่นเปียโนขัดกับคำขอโอลิเวอร์ ที่ทั้งสองต่างหยั่งเชิงอีกฝ่ายอยู่ลึกๆ,

วรรณคดีที่เมสเสจ “บอกไปหรือตายเสียดีกว่า” ของมันถูกเอลิโอใช้แทนความรู้สึกตัวเองก้าวถามแบบอ้อมๆ, ไปจนถึง  โบราณวัตถุ ที่ซากรูปปั้นถูกใช้เป็นสัญญาณสงบศึก และ ที่การเดินล้อมห่างกันรอบอนุสาวรีย์ ถือเป็นฤกษ์ให้เผยความในใจสำคัญ

รายละเอียดสิ่งละอันพันละน้อยทั้งในท่าทางและวัตถุ ทำให้ความดึงดูดเข้าหากันช้าๆของเอลิโอและโอลิเวอร์ มีความอ่อนโยนอ่อนไหว ชวนติดตามและซึมซับในรายละเอียดได้อย่างเป็นธรรมชาติ จนเมื่อถึงจุดเปลี่ยนเข้าองค์สอง ทุกอย่างจึงพร้อมให้ความรู้สึกเร่งรัดสว่างไสวของรักแรกได้อย่างเต็มที่ ยามสองฝ่ายจูนเข้าหากันติดแล้ว

รีวิวCall Me by Your Name 2017

แต่สิ่งที่ทำให้สององค์แรกในเรื่องราวระหว่างเอลิโอกับโอลิเวอร์ ก้าวข้ามเป็น “รักแรกครั้งหนึ่งตราตรึงตลอดไป” นั้น คือการขมวดปมท้ายเรื่อง เกี่ยวกับตัวตนที่เปลี่ยนไปจากรักแรกนี้  ซึ่งหนังเล่าได้อย่างอ่อนโยนแต่ชวนใจสลาย

ในความเศร้าละมุนแต่หนักแน่นอย่างผู้ใหญ่มากๆของมัน  การเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรนี้ ถูกจับอยู่ในบทพูดยาวๆบทหนึ่งถึงเอลิโอท้ายเรื่อง ที่นักแสดงมากฝีมืออย่างไมเคิล

สตูลบาร์ก ถ่ายทอดออกมาได้อย่างลึกซึ้ง เปิดเผย และเปี่ยมความเข้าอกเข้าใจอย่างที่สุดจนชวนน้ำตาซึม  บทพูดของตัวละครเขาได้ช่วยวางกรอบแห่งความหมายรอบเรื่องราวของเอลิโอกับโอลิเวอร์ ในบริบทของชีวิตที่ยังต้องอีกยาวไกล และเปี่ยมไปด้วยความทรงจำกับประสบการณ์อีกมากมาย คำสอนของพ่อนี้ยังสะท้อนดังก้องอยู่ในคำพูดสั้นๆสำคัญประโยคหนึ่ง ยามใกล้จบเรื่อง

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *