รีวิว Black Crab

รีวิว Black Crab

รีวิว Black Crab

 

 

แบล็กแคร็บ Black Crab ผลงานใหม่ Noomi Rapace หนังแอ็คชั่น ระทึกใจ สุดสัปดาห์นี้มี ภาพยนตร์พากย์ไทยทาง Netflix แนวแอ็คชั่น เร้าใจ มาฝากค่ะ ผลงานเรื่องใหม่ของนักแสดงหญิงเก่งชาวสวีเดน นูมิ ราเพซ (Noomi Rapace) ที่เคยมีผลงานชื่อดังอย่าง Prometheus (2012) , Alien : Covenant (2017) และ Lamb (2021) จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสวีเดน หนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่อง ความสงบสุขที่สุดในโลก เกิดสงคราม โห เกริ่นซะอยากดู ว่าแต่สนุกน่าติดตามแค่ไหน จะปังหรือจะแป๊ก ไปติดตามกับรีวิวภาพยนตร์เรื่องนี้กันค่ะ

เรื่องย่อBlack Crab แบล็กแคร็บ (2022) เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือชื่อเดียวกันของนักเขียน Jerker Virdborg ผลงานการกำกับของ อดัม เบิร์ก ที่เรื่องนี้รับหน้าที่เขียนบทร่วมกับ เพลเล รอดสตรอม บอกเล่าเรื่องราวช่วงสงครามกลางเมืองในประเทศสวีเดน ที่ฐานทัพของฝ่ายทหารกำลังถูกรุกราน คาโรลิน เอียดห์ ทหารหญิงฝีมือดีที่พัดพรากจากลูกสาววัยรุ่น ได้รับคัดเลือกให้ปฏิบัติภาระกิจลับร่วมกับทหารผู้กล้าอีก 5 คน

เพื่อขนพัสดุชิ้นสำคัญข้ามน้ำทะเลที่กลายเป็นน้ำแข็ง ในเส้นทางหลังแนวข้าศึก จากเมืองเท็สเซอนอยไปยังอีกฐานทัพหนึ่งที่เกาะเออเดอ ซึ่งอยู่ห่างไปเกินกว่า 100 กิโลเมตร โดยมีข้อตกลงว่าหากทำภาระกิจสำเร็จเธอจะได้พบกับลูกสาวทันที คาโรลินจะปฏิบัติภาระกิจได้สำเร็จหรือไม่ ของที่ต้องนำส่งคืออะไร และเธอจะได้พบกับลูกสาวไหม ต้องไปติดตามกันต่อทาง Netflix ดูหนัง

 

รีวิว Black Crab

 

การดำเนินเรื่องช่วงยี่สิบนาทีแรกถือว่าปราบเซียน ถ้าใครที่หลับเวลาดูหนังบ่อย ๆ ไม่น่าจะรอดช่วง แต่ถ้ารอดมาได้หลังจากนั้นสนุกต่อเนื่อง อยากรู้ว่าใครจะรอดชีวิตจากภาระกิจการสเก็ตบนทะเลที่กลายเป็นน้ำแข็งความยาวกว่าร้อยกิโลเมตร ที่ต้องเดินทางในความมืด เหมือนกับปูดำ และเส้นทางนั้นอยู่หลังแนวข้าศึก ระหว่างทางต้องเจออุปสรรค โดยรวม บู๊ แอ็คชั่น ลุ้นมัน สนุกได้อยู่

เนื้อเรื่องน่าสนใจอยู่นะ หนังเล่าเรื่องประเทศสวีเดน จะเกิดอะไรขึ้นหากเกิดสงคราม กับประเทศที่ขึ้นชื่อว่าสงบสุขและประชาชนมีความเท่าเทียมกันสูง หนังพยายามนำเสนอความเป็นมนุษย์ ว่าในสถานการณ์คับขันคนเราจะเลือกอะไร ระหว่างเหตุผลความถูกต้องกับผลประโยชน์ของตนเอง โดยเล่าผ่านภาระกิจการเดินทาง ด้วยสเก็ตเพื่อส่งของระหว่างสงคราม แต่นอกจากเส้นเรื่องหลักแล้ว บทถือว่ายังอ่อน ไม่มีการอธิบายที่มาที่ไปของตัวละคร ทำให้หลายครั้งไม่รู้สึกอินร่วมไปด้วย และแอบสงสัยตลอดว่าจุดนี้ จุดนั้นมาได้ยังไง ไม่ค่อยสมจริง ตัวละครบางตัวบทจะตายก็ตายง่าย ๆ ส่วนคนอึดก็อึ้ดอึด

 

รีวิว Black Crab

ภาพยนตร์แอ็คชั่นระทึกขวัญของสวีเดนที่มีแบ็คกราวด์อยู่ในโลกหลังหายนะที่ถูกทำลายล้างด้วยสงคราม ผ่านการเดินทางด้วยสเก็ตน้ำแข็งที่ถือว่าแปลกใหม่เลยในหนังสงครามแบบไม่เคยมีมาก่อนแน่ๆ ที่ใช้ฉากผืนน้ำแข็งเป็นโลเกชั่นหลัก ซึ่งโดยปกติหนังสงครามเราจะได้เห็นฉากระเบิด พื้นดินระเบิด ไฟไหม้ อะไรต่างๆ เหล่านี้ที่ชวนให้คิดทันทีว่าถ้าไปวางเรื่องราวไว้บนผืนน้ำแข็ง ที่เปราะบางแตกง่ายจะเป็นเช่นไร มันเป็นโจทย์ที่ท้าทายมาก และหนังเรื่องนี้ก็สามารถสร้างมันออกมาได้แปลกใหม่ชวนระทึกได้ตลอดเรื่องจริงๆ

ตัวหนังสร้างจากนิยายมีชื่อเสียงของนักเขียน Jerker Virdborg  ซึ่งการที่เป็นนิยายมาก่อนก็ทำให้ตัวเรื่องละเอียดมีเนื้อหาลึกมากกว่าหนัง Netflix โดยทั่วไปแบบเห็นได้ชัด และที่น่าแปลกใจคือผู้กำกับ อดัม เบิร์ก (Adam Berg) ดูจากผลงานที่ผ่านเคยกำกับแค่หนังสั้นสองเรื่อง นอกนั้นเป็นมิวสิควิดีโอ นี่จึงเป็นผลงานหนังเต็มตัวเรื่องแรกของเขา และยังได้ดาราชื่อดังอย่าง นูมิ ราเพซ มาแสดงนำ พร้อมกับงานโปรดักชั่นที่ใหญ่โต ถือว่าไม่ธรรมดาเลยสำหรับหนังสร้างจากเน็ตฟลิกซ์

 

รีวิว Black Crab

 

จุดเด่นสุดของเรื่องนี้คือฉากสงครามผ่านการใช้สเก็ตน้ำแข็งในทะเลน้ำแข็ง ซึ่งตัวเรื่องในส่วนนี้มีถึงราวๆ 70% ของเรื่อง เรียกว่าเป็นงานขายฉากแอ็กชั่นสงคราม บนผิวน้ำแข็งที่แปลกตามาก เริ่มตั้งแต่การเล่นสเก็ตหลบหลีกการโจมตีข้าศึกแบบต่างๆ ซึ่งในเรื่องใส่มาแทบครบเลยดีกว่า ตั้งแต่ฮอไล่ยิง ปืนกล สไนเปอร์ หรือแม้แต่จรวดหัวรบยิงถล่มก็มี เพียงแต่ไม่ได้ตกลงที่พื้นนำ้แข็งโดยตรง แต่ก็เป็นฉากใหญ่เปิดเรื่องก่อนลงพื้นน้ำแข็งที่ทำให้เห็นเลยว่างานโปรดักชั่นรวมถึง CG ของเรื่องนี้ไม่เล็กเลย

ส่วนใครที่คิดว่ายิงกันขนาดนั้นแล้วพื้นน้ำแข็งไม่แตกหรือไง ในเรื่องก็อาจจะมีจุดที่ดูเว่อร์ๆ อยู่บ้าง แต่หลายฉากก็ทำให้เราพอเชื่อได้ แล้วก็มีพวกอุบัติเหตุจากน้ำแข็งแตกจากการเดินทางรวมอยู่ด้วย รวมถึงฉากดำไปใต้น้ำ ซึ่งภัยอันตรายทุกอย่างที่เกิดกับผืนน้ำแข็งในเรื่องนี้มีไว้หมด รวมถึงพวกฉากโลกหายนะในทะเลน้ำแข็ง อย่างเรือโดยสารถูกแช่งแข็งครึ่งลำ

สุสานศพใต้น้ำแข็ง ในหนังอธิบายไว้ว่าเป็นครั้งแรกใน 37 ปีที่ทะเลกลายเป็นน้ำแข็งหมด แต่ไม่ได้บอกสาเหตุไว้ แต่ก็น่าจะเกิดจากผลกระทบจากสงครามในเรื่องนี้  นอกจากนั้นวิวเวิ้งว้างกลางทะเลน้ำแข็งในเรื่องยังดูสวยแปลกตา จนสงสัยว่าถ่ายทำกันได้ยังไงถ้าไม่ใช้ CG ซึ่งเนียนจนแยกไม่ออกจริงๆ

 

รีวิว Black Crab

 

ตัวผลกระทบในเรื่องนี้ก็ไม่ได้จำกัดแค่ในทะเลน้ำแข็ง แต่ในเรื่องนี้ยังรวมถึงพื้นดินด้วยที่มีแต่ความหนาวเหน็บทั้งเรื่อง ซึ่งบางครั้งกลุ่มตัวเอกก็ต้องขึ้นไปพื้นดินบ้าง แต่ก็ไม่มีการได้หยุดพักกันจริงๆ เลยสักครั้ง เพราะในเรื่องนี้ทุกครั้งที่หยุดพักจะมีฉากยิงกันตามมาเสมอ เป็นหนังที่ขยันใส่ฉากยิงกันมาต่อเนื่องแบบแทบไม่มีพักเบรคอะไรกันเลย ตอบโจทย์คอหนังสงครามยิงกันได้แน่นอน

และตัวละครทั้งหมดของเรื่องก็มีส่วนในการสู้รบทั้งหมด ไม่ได้โฟกัสที่นางเอกเพียงคนเดียว ทุกคนมีบทบาทกับการเดินเรื่องช่วยทั้งการรบและส่งบทดราม่า แน่นอนว่าต้องมีคนตาย ตัวเรื่องจะค่อยๆ ตัดตัวละครน้อยลงไปเรื่อยๆ แต่ทุกคนก็มีบทบาทตอนตายเป็นซีนดราม่าชวนหดหู่ไปกับเรื่องได้พอสมควร ซึ่งตัวหนังก็สะท้อนความโหดร้ายของสงครามออกมาได้ดีเลย

 

 

นอกจากนี้แล้วตัวเรื่องยังมีปมหลักที่ชวนให้น่าสงสัยแต่แรกว่า ของในภารกิจนี้คืออะไร ทำไมถึงตัดสินแพ้ชนะสงครามได้เลย ซึ่งปมนี้ถูกผลักดันไปควบคู่กับเป้าหมาย ของนางเอกที่ต้องการไปพบลูกสาวในจุดหมายปลายทาง แบบมุ่งมั่นเอาชีวิตเข้าแลก จนทำให้การตัดสินใจ ของตัวนางเอกในบางครั้งดูแย่เพราะไม่คิดถึงคนอื่นในทีมเลย ซึ่งทั้งหมดจะมีที่มาที่ ไปโดยตอนเปิดเรื่อง เราจะได้เห็นฉากจุด เริ่มสงครามวันแรกที่มีการก่อการร้าย

และอาจจะทำให้เธอสูญเสียลูกสาวไปในวันนั้น แต่ในฝันระหว่างพักสั้นๆ ทุกครั้งเรื่องจะแฟลชแบ็คเล่าย้อนกลับ ไปว่าเธอกับลูกใช้ชีวิตยังไงในช่วงสงคราม ซึ่ปมนี้ถูกทำให้คลุมเครือเป็นความลับตลอดเรื่องว่า จริงๆ แล้วเหตุการณ์ในตอนเปิดเรื่องเป็นยังไงกันแน่ โดยทั้งสองปมนี้ จะถูกเฉลยในตอนท้าย และยังผลักดันเรื่องราวไปต่อได้อีกในองค์สุดท้าย ไม่ใช่แค่จบภารกิจตอนต้นเท่านั้น

 

 

ซึ่งในองค์สุดท้ายตัวเรื่องถูกพลิกมา เป็นอีกแนวที่ไม่ใช่ฉากยิงกันในสงคราม แต่เป็นฉากภารกิจสุดท้ายจากการตัดสินใจของตัวละครที่เหลือรอดอยู่ว่าจะจบสงครามนี้ลงแบบไหน ซึ่งช่วยเคลียร์ปมเรื่องราวลูกของนางเอกพร้อมกับภารกิจหยุดสงครามได้ค่อนข้างดีเลย แม้จะมีกังขาอยู่บ้างว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น แต่นั่นก็ไม่ใช้พ้อยท์หลัก เพราะหัวใจหลักของเรื่องคือความรักของแม่ที่มีต่อลูกที่ช่วยขับเคลื่อนเรื่องราวทั้งหมดมาถึงจุดนี้

ตัว นูมิ ราเพซ เองก็ยังเหมาะสมกับบทบาทสายบู๊แนวนี้ที่เธอน่าจะถนัดมากถึงรับเล่นอยู่บ่อยๆ ในเรื่องเธอไม่ใช่แค่แม่นักสเก็ตที่กลายมาเป็นทหาร แต่แทบจะเป็นตัวละครแนวฮีโร่หญิงเลยก็ได้ เพราะตั้งแต่เปิดเรื่องมาก็มีฉากที่เธอเอาตัวรอดแบบฉับพลันจากคนรุมทำร้าย มีฉากยิงกันที่เธอมีสกิลใช้อาวุธได้อย่างชำนาญมาก ขนาดสไนเปอร์ก็ยังใช้ได้ทันที ซึ่งอาจจะดูเว่อร์ๆ บ้างกับแนวหนังสงคราม ที่คนอะไรจะเก่งขนาดนี้ แต่ฉากพวกนี้ของเธอก็ทำออกมาได้สนุกตื่นเต้นจนคนดูไม่น่าจะติดใจอะไรกับเรื่องพวกนี้ครับ

 

หนัง Black Crab

ส่วนจุดด้อยของเรื่องก็มีเล็กน้อย อย่างการที่บางฉากดูโม้ๆ เว่อร์ไปสักหน่อยว่ายิงกันขนาดนั้นทำไมน้ำแข็งไม่แตก กับเรื่องราวของสงครามที่เรื่องแทบไม่ให้เรารู้เลยว่าสวีเดนไปรบกับใคร แต่มองจากชุดศัตรูที่ใส่ชุดขาวน่าจะเป็นทหารรัสเซีย ซึ่งแบ็คกราวด์ของสงครามในเรื่อง ค่อนข้างน้อยมากจนเราไม่รู้เลยว่าเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ตรงนี้ก็เหมือน ผู้สร้างไม่ได้ต้องการเน้น จึงมองข้ามไปก็ได้ แต่จริงๆ น่าจะมีการเล่าสั้นๆ ให้พอเข้าใจโครงสร้างโลกในเรื่องสักหน่อย เพราะมันมีส่วนสำคัญกับสิ่งของที่เป็นภารกิจสำคัญในเรื่องตรงๆ ว่ากำลังรรบกับใคร ถึงต้องใช้เจ้าสิ่งนี้เพื่อหยุดสงครามครั้งนี้

มาถึงคิวของหนังแอคชั่นระทึกขวัญกลางภัยสงคราม ผลงานล่าสุดจากสัญชาติสวีเดน ที่แน่นอนว่าเห็นแม่สาวนักสู้ “นูมิ ราเพซ” ก็คือสัญลักษณ์ของความมันส์ นี่คือ “Black Crab” หนังที่ดัดแปลงสร้างมาจากนวนิยายขายดีของท้องถิ่น ที่นำมาปูพรมเป็นหนังภารกิจลับทางการทหาร ท่ามกลางอุณหภูมิสภาพอากาศที่หนาวติดลบ แม้ว่าหนังจะยังมีองค์ประกอบบางส่วนที่ขาดๆ เกินๆ กระจายไปอยู่ทั้งเรื่องก็ตาม

 

 

ฤดูหนาวเยือกแข็งแสนหฤโหดในโลกยุคล่มสลายเพราะสงคราม ทหาร 6 นายถูกรวบรวมมาทำภารกิจเสี่ยงตายโดยการขนส่งแคปซูลปริศนาที่จะช่วยยุติสงคราม แต่ปัญหาคือพวกเขาต้องเข้าสู่แดนของศัตรูข้ามทะเลที่กลายเป็นแผ่นน้ำแข็งสุดลูกหูลูกตา

หนังจากเน็ตฟลิกซ์สวีเดนอาจไม่ได้เป็นที่สนใจในบ้านเราบ่อยนัก หรือพูดให้ถูกคือหนังโซนยุโรปที่ไม่ใช่จากประเทศอังกฤษถือว่าเป็นของไม่ถูกโฉลกกับคอหนังบ้านเราเสียส่วนใหญ่ และหนังเรื่องนี้จึงพยายามขายดาราอย่าง นูมิ ราเพซ (Noomi Rapace) ที่โด่งดังจากหนัง ‘The Girl with the Dragon Tattoo’ (2009) ฉบับดั้งเดิมของสวีเดน จนมีโอกาสได้ร่วมงานหนังบล็อกบัสเตอร์ฝั่งฮอลลีวูด อีกมากมายหลังจากนั้น เป็นดาราสวีเดนไม่กี่คนที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างแท้จริง เพื่อทำให้หนังน่าสนใจสำหรับคอหนังทั่วไปมากขึ้น

 

 

ทว่าเมื่อรับชมเข้าจริงแล้ว ต้องยอมรับว่านี่เป็นหนังแนวโรดมูฟวี่ที่เปลี่ยนจากท้องถนนเป็นทะเลน้ำแข็ง เปลี่ยนจากดราม่าเพื่อนร่วมทางไปสู่ความเข้มข้นของนายทหารจำเป็นในสงคราม ที่ภารกิจไม่ใช่การตามหาความฝันหรือเรียนรู้ชีวิตแต่เป็นการเอาชนะสงคราม เป็นความรู้สึกที่ใกล้เคียงหนังสงครามที่เดินเท้าเข้าแดนศัตรูอย่าง ‘Saving Private Ryan’ (1998) ในแบบที่ลดดีกรีความคลาสสิกลงมา ไม่ละเมียดเท่าแต่ก็มีกลิ่นความระทึกและน่าติดตามอย่างมีชั้นเชิงเช่นกัน รีวิวหนัง

 


ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *