รีวิว แหกคุกมหาประลัย
หลังจากดู Prison Break ผมก็ยังอินหนังเกี่ยวกับการแหกคุก ก็เลยลองหาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาพบกับ Escape Plan หนังแนวแหกคุกที่มีเสียงวิจารณ์ว่าสนุกมาก
เรื่องเล่าถึง เรย์ เบลสลิน (Sylvester Stallone) ซึ่งมีอาชีพเป็นนักแหกคุกและออกแบบแปลนคุกทั้งหมดของประเทศสหรัฐ ทั้งนี้ก็เพื่อให้มั่นใจว่าคุกนั้นปลอดภัยและระบบที่แข็งแกร่งพอที่จะไม่ทำให้มีนักโทษแหกคุกออกไปได้ โดยเรย์ทดสอบแหกคุกออกมาแล้วถึง 14 แห่ง และล่าสุดเขาได้รับการว่าจ้างให้เข้าไปทดสอบคุกที่เรียกได้ว่าทันสมัยที่สุดและไม่เคยมีใครหนีออกมาได้
โดยระหว่างที่เขาถูกคุมจะไม่รู้เลยว่าอยู่ที่ไหนบนโลก และเขาไม่รู้ตัวว่าตัวเองถูกใส่ร้ายให้เปรียบเสมือนนักโทษจริง ๆ และต้องพยายามที่จะแหกคุกที่เค้าเป็นคนออกแบบขึ้นมาเอง
ช่วงต้นเรื่องหนังสื่อให้เห็นว่าเรย์มีการแหกคุกจากที่อื่น ซึ่งก็ไม่ได้ยากอะไรมากนักก็เลยทำให้พอจะเดาได้ง่าย ๆ แต่หนังมาเริ่มมันส์กลางเรื่อง เมื่อเรย์ถูกโยนเข้าคุกดังกล่าว สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือปริศนาของคุก ความซับซ้อนและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ไม่ได้ง่อยเหมือนคุกอื่น ๆ
หนังค่อย ๆ ชักนำอารมณ์คนดูไปอย่างช้า ๆ ให้คนดูลุ้นคาดเดา และคิดตามว่าจะไปในทิศทางไหน หลายคนอาจจะบอกว่าดูน่าเบื่อ แต่สำหรับผมที่คิดตามและเดาตามเรย์ตลอด มันเลยรู้สึกอินไปกับหนังไม่ได้น่าเบื่อเลยครับ หนังค่อย ๆ เพิ่มความสงสัยให้กับคนดูมากขึ้นเรื่อย ๆ คือสุดยอดจริง ๆ ดูหนัง
หลายคนอาจคิดว่าหนังเดาง่ายมากพระเอกเก่งไปมั้ย แต่ผมกับมองต่าง ผมว่าผู้สร้างเค้าทำหนังออกมาได้ซับซ้อน ลูกเล่นเยอะมาก ผมลองสังเกตว่า แต่ละภารกิจ ไม่ได้ง่ายเลยนะครับ ถ้าผมไปทำเองบอกเลยว่าไม่ได้แน่นอน อีกอย่างหนังก็ไม่ได้ยาวแค่เกือบสองชั่วโมง เพราะการดำเนินเรื่องต้องกระชับอืดอาดไม่ได้
แม้ว่าหลายคนจะมองว่าการดำเนินเรื่องบางช่วงจะอืดไปบ้าง แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าหนังน่าเบื่อเลย หนังยังคงมีความมันส์และกลิ่นอายของการแหกคุกที่มหาโหด ที่จะดึงให้คนดูสนใจและลุ้นไปตามตัวละคร
หนังเน้นไปในเชิงใช้สมอง และ ความสามารถในการที่ พยายามจะแหกคุกออกมา ไม่ได้เน้นวิชวลเอฟเฟคต์ขนาดนั้น แต่ที่น่าสนใจคือ โครงสร้างของคุก และความใหญ่โตอลังการของคุกขัง เดี่ยวที่เป็นกระจกทั้งหมด
รีวิว แหกคุกมหาประลัย
ข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้
ความสามารถในการแหกคุก เรย์ที่มีอาชีพเป็นคนแหกคุก เค้าต้องมีทักษะ ความสามารถและสมอง ในการที่จะใช้พลิกแพลงสถานการณ์ หรือที่เรียกว่า ฉลาดเป็นกรด ซึ่งความสามารถแบบนี้ ไม่ได้มีประโยชน์แค่ในการแหกคุกนะครับ การหนีออกจากที่กักกันหรือในสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง เช่น การถูกจับตัวก็สามารถนำมาพลิกแพลงใช้ได้
ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นภาพยนตร์แนวแหกคุก ซึ่งตัวดำเนินเรื่องชื่อ เรย์ เบลสลิน รับบทโดย Sylvester Stallone(แรมโบ้ที่เราคุุ้นเคย) ทำอาชีพในบริษัทรักษาความปลอดภัย ซึ่งตำแหน่งของเขาก็คือ รับจ้างแหกคุกรายวัน งานของเขาก็คือ เข้าคุกในแต่ละที่เพื่อแหกคุกออกมา ภายในหนังจะอธิบายความคิดหรือแนวคิดของเรย์ เบลสลิน กับการแหกคุกออกมา
แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเขาได้เขียนหนังสือระบบความรักษาความปลอดภัยไว้ในหนังสือแล้วมีคนสร้างคุกที่มีระบบความรักษาความปลอยภัยแบบที่เขาได้เขียนเอาไว้ และเพื่อให้แน่ใจว่ามีความปลอดภัยสูงเขาจิงจับเรย์ เบลสลิน ไปขังเพื่อทดสอบความปลอดภัย คุกแห่งนี้จะขังเขาไว้ได้หรือไม่ เขาจะมีแผนอะไรในการแหกคุกออกมาต้องไปรับชมดูครับ
อีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่ต้องพูดถึงนั่นก็คือ เอมมี่ ล็อทไมล์เลอร์ รับบทโดย Arnold Schwarzenegger (คนเหล็กที่เราคุ้นเคย) เขาเป็นคนที่ติดคุกลับแห่งนี้มาก่อนที่เรย์ เบลสลิน จะเข้ามา ซึ่งภายในเรื่อง 2 คนนี้เป็นคู่ขากันภายในคุก ทั้งสองคนนี้มีความสามารถพอๆกันเลยทีเดียว ภายในเรื่องจะได้เห็นการทำงานเป็นทีมของ 2 คนนี้
สื่งที่น่าสนใจภายในเรื่อง ขึ้นชื่อว่าหนังแหกคุก สิ่งที่หลายๆคนต้องการชมคือวิธีการแหกคุกนั่งเอง(ผมก็คือหนึ่งในนั้น) ซึ่งวิธีการแหกคุกภายในเรื่องมีความน่าสนใจเพราะก่อนที่ถูกจับมาตัวละครจะไม่รู้เลยว่าถูกขังอยู่ที่ไหน วันที่เท่าไหร่ เวลากี่โมง ซึ่งต้องหาวิธีการให้รู้เอาเอง มีหนึ่งคำพูดของเรย์ เบลสลินเกี่ยวกับการแหกคุกคือ “การแหกคุกต้องรู้ 3 อย่าง รู้แบบแปลน รู้กิจวัตรซ้ำซาก และมีคนคอยช่วยจากนอกหรือใน” คำพูดนี้จะเกี่ยวกับหนังมากขนาดไหนต้องลองรับชมดูครับ
สิ่งที่ไม่ชอบ(เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน) ในหนังบางช่วงอาจจะมีการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างน่าเบื่อแต่ถ้าภาพรวมแล้วผมคิดว่าด้านดีมีมากกว่า อีกเรื่องหนึ่งคือ ไม่ว่าเรย์ เบลสลินจะทำอะไรก็จะประสบความสำเร็จไปซะหมด ดูเหมือนว่าทุกอย่างที่ทำเป็นเรื่องง่ายไปหมด
ฉากบู๊ในหนัง(เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน) ผมคิดว่าฉากบู๊ ในหนังมีเยอะเกินไปเลย ทำให้เสน่ห์ของหนังแหกคุกลดลง เนื่องจากหนังแหกคุกในความคิดของผู้เขียนคือ หนังที่ใช้วิธีการมากกว่าการที่เป็นหนังบู๊แต่ด้วยตัวนักแสดงเอง เอกลักษณ์ของตัวแสดงนั่นก็คือเรื่องการบู๊ทำให้หนังออกมาไม่ได้แย่เลย ฉากบู๊ในเรื่องมีความมันส์และความเท่ห์ของตัวแสดงอยู่แล้ว เลยไม่แปลกใจที่หนังจะมีฉากบู๊เยอะ
ภาพรวมในหนัง ผมคิดว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ได้รับชมแล้วไม่ทำให้ผิดหวัง คุ้มค่ากับการที่ได้ดูไม่ว่าจะเป็นนักแสดงทั้งคู่ต่างเป็นนักแสดงรุ่นเก๋า และเชื่อว่าทุกคนต้องเคยดูหนังของสองคนนี้อยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นแรมโบ้หรือคนเหล็ก เรื่องของการแสดงเลยไม่ต้องผิดหวังเพราะความเก๋าและเท่ห์ของทั้งสองคนจะทำให้คนดูใจจดใจจ่อแน่นอน ฉากหนังหรือพร็อบถือว่าทำออกมาได้ดีมาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือคุกที่ออกแบบมาได้สวยงามมาก มีการดีไซน์ได้น่าสนใจมากครับ
บทความรีวิวของผมเป็นส่วนหนึ่งของความคิดเห็นส่วนตัว ถ้ามีส่วนไหนผิดพลาดหรือไม่ถูกใจขออภัยใว้นะที่นี้ด้วยนะครับ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรอยากให้ไปรับชมหนังเรื่องนี้เองนะครับ ผมรับรองได้เลยว่าคุณจะไม่เสียใจเมื่อดูหนังเรื่องนี้ครับ
ในคุกแห่งนี้ ดูเป็นคุกล้ำสมัย มีเจ้าหน้าที่คุ้มกันใส่หน้ากาก มีห้องขังโปร่งใส มีระบบการตรวจจับสารพัด เบรสลินคงไม่สามารถหาบางสิ่งได้เหมือนเดิมอีกแล้ว แต่เขายังมีสมองที่ชาญฉลาด สิ่งที่พอหาได้คือพรรคพวกในนั้น แล้วเขาก็เจอ รอทมายเออร์ (Arnold Schwarzenegger) คนที่ยินดีจะร่วมมือกันแหกคุกออกมา
พล็อตโดยรวม อาจจะดูแล้วเดากันไม่ยาก แต่ถ้าดูกันเป็นช็อต บางจุดก็ออกจะเซอร์ไพรส์ไม่น้อยเหมือนกันนะ ผมไม่รู้ว่าจะมีคนก็อปปี้ บทความนี้อีกหรือเปล่านะ ถ้ามีละก็ คุณหน้าด้านมาก หนังเผยให้เห็นการแหกคุกครั้งสุดท้ายที่ดูแสนจะง่ายดายมาก จนต้องมาเจอคุกที่แหกยากที่สุดในโลกแห่งนี้ หนังขนาดยาว 116 นาที ยังมีคนบ่นกันเลยว่า การแก้ไขสถานการณ์ของพระเอกนั้นดูง่ายดายเกินไป
สำหรับ Escape Plan นั้น เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบดาราสายแอคชั่นยุค 80-90 อย่าง Sylvester Stallone และ Arnold Schwarzenegger อยู่แล้ว แม้ว่าในส่วนของตัวหนังจะไม่ได้ดูฉลาดล้ำอะไรมากนัก แต่ก็มีการดีไซน์ตัวคุกที่ออกมาได้น่าสนใจ มีจุดพลิกผัน ฉากแอคชั่นให้ได้ชวนลุ้นอยู่เรื่อยๆ เลยคิดว่าหนังเรื่องนี้ไม่น่าใช่หนังที่อยู่ในจุดที่ถึงขนาดน่าผิดหวัง
แต่ในขณะเดียวกันมันก็ไม่ได้ชวนว้าวสักเท่าไร แต่การได้เห็น 2 ลุงมาวิ่งตะลุยด้วยกันแบบนี้ คือความคุ้มค่ามากแล้วจริงๆ ใครที่ชอบหนังสไตล์แหกคุกแบบ Prison Break หรือ Lockout โดยมี 2 ลุงมาเป็นตัวละครเอกแล้ว น่าจะชอบกันได้ไม่ยาก
หนัง แหกคุกมหาประลัย
สรุปเนื้อหา
หากจะว่าตามตรง การที่ได้เห็นลุงสตอลโลน กับลุงอาโนล มาเล่นหนังด้วยกันในบทเด่นทั้งคู่แบบนี้ คงไม่ใช่โอกาสที่เห็นได้บ่อยนัก ทำให้ในตอนที่ได้ข่าวคราวๆ ก็รู้สึกไปในทันทีว่าอยากรู้หนังเรื่องนี้มาก ไม่ว่ามันจะเกี่ยวกับอะไรก็ตาม ซึ่งพอรู้ว่าเป็นพล็อตเรื่องของการแหกคุกก็สร้างความน่าประหลาดใจได้อยู่ไม่น้อย เพราะด้วยคาแรคเตอร์ของเขาทั้งคู่นั้น
ดูเหมาะกับหนังสไตล์แอคชั่นบ้าระห่ำ เหมือนกับ Rambo หรือคนเหล็ก อะไรแบบนั้นมากกว่าที่จะเป็นหนังที่ดูใช้ความไหวพริบ การวางแผนอะไรแบบนี้ แต่สุดท้ายหนังมันก็สร้างความเหนือชั้นในแบบพอดีๆ ไม่เกินตัวเกินไป ก็นับว่าเป็นอะไรที่ลงตัวอยู่ไม่น้อย
ด้วยความเก่งกาจของตัวเอก เรย์ ก็เลยทำให้เขาต้องได้เผชิญกับคุกสุดล้ำให้สมน้ำสมเนื้อ ทั้งในแบบกระจกใสที่ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้อย่างโจ่งแจ้ง รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยในแบบจัดเต็ม ก็ดูเป็นความท้าทายให้กับตัวละครที่ผ่านการแหกมาหลายคุกได้เป็นอย่างดี ในการดำเนิน เรื่องก็ไม่เร่งรีบจนเกินไป มีการปูเรื่องเสมือนให้เราเข้าใจความคิด และ เข้าไปอยู่ในหัวของตัวละครก่อน ไปจนถึงในส่วนแผนการก็ทำออกมาได้สนุก มีอะไรให้พอคิดตามได้อยู่ตลอด อีกทั้งในแต่ละฉากก็พอจะมีจุดพลิกผัน ให้ไม่เป็นตามแผนจนต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอยู่เรื่อยๆ รีวิวหนัง
นอกจากนี้ในส่วนระหว่างเรื่องก็มีแทรก ฉากแอคชั่นเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ในปริมาณที่เหมาะสมกับเรื่องราว ก็ช่วยเพิ่มความบันเทิงให้หนังอยู่ไม่น้อย แต่ทั้งนี้คนที่มองว่าหนังมันจะมีความซับซ้อน ใช้สมองวางแผนกันสุดฤทธิ์แบบซีรี่ส์อย่าง Prison Break แล้ว ก็อาจจะผิดหวังอยู่ไม่น้อย ด้วยความที่หนังก็ดูมีความฉลาด เพียงแต่มันยังไม่ได้ฉลาดไปถึงในจุดนั้น
และไม่ว่าตัวละครจะดำเนินการตามแผนอะไร ก็รู้ว่าจะดูราบรื่นเสียไปส่วนมาก จนแอบรู้สึกว่ามันง่ายกว่าที่คิดเอาไว้ด้วยซ้ำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการได้เห็นดาราที่รักทั้งคู่ได้มาร่วมจอแล้วทำภารกิจไปด้วยกัน บนคาแรคเตอร์แบบเก๋าๆ เท่ๆ แล้ว เราก็ยังชอบมันได้อยู่ดี
ผู้กำกับจอห์น เฮิร์ซเฟลด์มีพื้นฐานด้านสารคดีและภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดฉากขึ้นอย่างแปลกประหลาดด้วยบทกวีเกี่ยวกับอเมริกายุคใหม่ ซึ่งเกือบจะเป็นสารคดีเกี่ยวกับย่านใจกลางเมืองทรัมเปียนที่เป็นสนิม หลังจากนั้นก็ถึงเวลาที่ต้องแสดงท่าทางที่ดูน่าเบื่อ เหมาะสมแล้วหากต้องต่อสู้แบบศิลปะการต่อสู้ซ้ำๆ ดินแดนที่เต็มไปด้วยผู้หญิง ใน Breslin ตัวละครที่ไม่ธรรมดาที่สุดในแคตตาล็อกหลังของ Stallone และนั่นรวมถึงโจเซฟ “โจ” บอร์นอฟสกีในStop! หรือ แม่จะยิง